Avani Sukhumvit Bangkok สถานที่แต่งงานเดินทางง่าย ใจกลางสุขุมวิท ห้องแกรนด์บอลรูมสวยทันสมัย ไม่ต้องตกแต่งเยอะ
คู่ของการ์ด (เจ้าบ่าว) กับจุ๊ย (เจ้าสาว) มีงานแต่งงานที่โบสถ์มาก่อน สำหรับงานนี้เลยเน้นปาร์ตี้ เลี้ยงฉลองแบบสนุกสนาน ไม่มีพิธีการอะไรมาก แขกส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มเพื่อน ๆ ค่ะ โดยเราดูโรงแรมที่ใกล้ BTS แขกจะได้เดินทางสะดวก ซึ่งเราเห็นข้อมูลของ Avani Sukhumvit Bangkok Hotel (โรงแรมอวานี สุขุมวิท กรุงเทพฯ) ทางโซเชียลมาก่อน พอเสิร์ชดูรีวิว โดยรวมมองว่าห้องสวย และใกล้บ้าน เลยนัดเข้าไปคุยกับเซลล์ค่ะ ซึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้เราเลือกที่นี่เป็นเพราะแพ็กเกจครบและคุ้มค่า ทำให้ไม่ต้องเหนื่อยหรือคิดเยอะ เนื่องจากเราเตรียมงานเองเกือบทุกอย่างค่ะ
จัดงานสบาย เพราะเลือกแพ็กเกจแต่งงานที่ครอบคลุม
เรามีเวลาเตรียมงานล่วงหน้าประมาณ 1 ปี เริ่มจากหาสถานที่แต่งงานเป็นอย่างแรก พอได้วันปุ๊บ ก็ปักวันกับสถานที่เลย ซึ่งเทคนิคของเราคือเลือกแพ็กเกจที่รวมไว้ให้แล้วทั้งสถานที่ ห้องพัก การตกแต่ง และอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่คู่เราให้ความสำคัญมากที่สุดค่ะ กลัวว่าแขกจะไม่อิ่ม หรือไม่อร่อย เราจึงเลือกเสิร์ฟเมนูบุฟเฟ่ต์นานาชาติ เพราะราคาต่างกับค็อกเทลไม่มาก โดยทางโรงแรมจะให้เทสติ้งอาหารก่อนค่ะ
วิธีการเลือกเมนูของคู่เรา เน้นที่เราอยากกิน และมีความหลากหลาย ทั้งเนื้อ หมู ปลา ไก่ กุ้ง ซุป ซึ่งทางโรงแรมมีลิสต์เมนูให้เลือกเยอะมาก แถมค่อนข้าง Flexible ด้วย เราก็เลือกเมนูมาล็อตหนึ่ง จากนั้นเชฟจะมารับฟีดแบ็ก ซึ่งเราแทบไม่ได้เปลี่ยนเมนูเลย มีแค่ผัดไทย ที่ขอทำเป็น Food Station แขกจะได้ทานแบบสด ๆ ร้อน ๆ ค่ะ และสลัดข้าวโพด ที่ปรับจากกุ้งทอดเป็นกุ้งย่าง ทางโรงแรมก็ปรับตามความต้องการของเราได้เลยค่ะ
ส่วนการตกแต่ง เราก็ใช้ของโรงแรมทั้งหมดเลยค่ะ จึงไม่จำเป็นต้องมีออแกไนซ์เลย โดยทางโรงแรมจะนัดบรีฟก่อนว่าเราอยากได้ธีมสีอะไร ซึ่งเราก็ขอสีสันคัลเลอร์ฟูล จะได้ดูมีมู้ดเฉลิมฉลอง ถ่ายรูปออกมาแล้วดูสดใสค่ะ
หลัก ๆ จะมีการตกแต่งตรงแบ็คดรอปที่เป็นฉากสีขาว ตัดกับดอกไม้สีจัด ๆ ทั้งชมพู แดง น้ำเงิน ม่วง เหลือง ส้ม ส่วนโซนแกลเลอรีใช้โครงสีทองโปร่ง ๆ ไว้แขวนภาพ และวางพุ่มดอกไม้หลากสีที่พื้น มีฉากเตี้ยทรงโค้งคั่น จะได้ดูสนุกมากขึ้นค่ะ
ภายในห้อง Grand Chambray Ballroom ที่เราจัดงาน เน้นตกแต่งดอกไม้แค่บนเวที แต่เพิ่มดอกไม้ยักษ์เข้ามา ทำให้งานดูเต็มขึ้น ประกอบกับทางโรงแรมมีจอ LED อยู่แล้ว จึงไม่ต้องตกแต่งอะไรเยอะค่ะ ที่เหลือก็เป็นจุดวางแชมเปญและแจกันดอกไม้บนโต๊ะแขก VIP ซึ่งการตกแต่งทั้งหมดนี้ เราแค่ส่งตัวอย่างให้โรงแรม นัดคุยดีเทลประมาณ 1 เดือนก่อนจัดงาน พอเห็นภาพวันจริงช่วงเช้าก็ชอบเลยค่ะ มีเปลี่ยนสีดอกไม้ในแจกันนิดหน่อยเท่านั้่นเองค่ะ
ใช้เวลาที่เหลือมาใส่ใจเรื่องดีเทล
พอเรื่องใหญ่ ๆ ผ่านไปแล้ว เราก็เอาเวลามาดูสิ่งที่ยังขาดอยู่ค่ะ เช่น ช่างภาพ พิธีกร รันคิว แต่สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับเรา คือเรื่องชุดค่ะ อย่างชุดเจ้าสาวในงานพิธี จุ๊ยอยากได้เรียบ ๆ มินิมอล พอมาถึงงานฉลองก็อยากได้ลุคที่แตกต่าง จึงเลือกชุดที่ปักเยอะ ๆ กลิตเตอร์วิบวับ และกระโปรงฟู ๆ ไปเลย แต่ช่วงที่เราแต่งงานเป็นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงพีค ทำให้ชุดสวย ๆ ถูกจองไวมาก โชคดีที่ยังมีชุดที่เราชอบว่างอยู่ค่ะ
ส่วนของการ์ดอยากได้สูทที่เป็นแฟชั่น จับคู่กางเกงเอวสูงและเนคไทสีเขียว ให้ดูวินเทจหน่อย ไม่ต้องทางการมาก เลยเลือกไปตัดซื้อจากร้านสูทแทน แต่ขอเตือนให้บ่าวสาวนัดลองชุดตั้งแต่เนิ่น ๆ นะคะ เพราะคู่เรา การ์ดวัดไซส์กระชั้นชิดไปหน่อย พอมีดีเทลต้องแก้ เลยทำให้ลุ้น เสื้อเชิ้ตมาส่งในวันที่จะแต่งงานเลยค่ะ
จัดลำดับพิธีตามใจ ผู้ใหญ่ปล่อยฟรี
แม้งานจะเริ่มเย็น แต่เรานัดช่างแต่งหน้ามาตั้งแต่บ่ายต้น ๆ จะได้มีเวลาให้ช่างภาพเก็บรูปและวิดีโอ ทั้งในห้องพัก Hallway และบริเวณ Greenhouse Terrace ซึ่งเป็นอีกมุมของโรงแรมที่สวยมาก ๆ ก่อนจะมาถ่ายรูปกับแขกตรงแบ็คดรอปค่ะ
เรื่องลำดับพิธี เราจ้างทีมรันคิวมาช่วยดูแลบ่าวสาว จัดพิธีการ และทำสคริปต์พิธีกรค่ะ เราก็ปรับเล็กน้อยให้เข้ากับสไตล์ของเราที่เน้นปาร์ตี้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ของเราไม่ได้ซีเรียสเลย ทำให้จัดคิวได้ตามที่ต้องการค่ะ เริ่มจากแขกที่มาในงานจะเซ็นอวยพรและรับของชำร่วยเป็นที่เปิดขวด เพราะใช้งานได้จริง และสะท้อนความเป็นสายปาร์ตี้ในตัวเราด้วยค่ะ
หลังจากนั้น เราก็จะเปิดวิดีโอพรีเซนเทชั่นว่าคู่เรารู้จักกันได้ยังไง และเป็นพิธีในโบสถ์ ก่อนที่เราจะควงคู่กันเข้างาน โดยมีเพื่อน ๆ โปรยดอกไม้ค่ะ พอขึ้นเวที พิธีกรก็จะถามความรู้สึกของเรา โดยไม่ได้มีประธานขึ้นมากล่าวอะไรค่ะ พอพูดขอบคุณแขกเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นช่วงรินแชมเปญ แล้วก็โยนดอกไม้ พิธีการจะสั้น ๆ จบใน 2 ชั่วโมงค่ะ
บรรยากาศงานสไตล์ปาร์ตี้ ใช้เสียงเพลง เพิ่มดีกรีความสนุก
ระหว่างพิธีการ เราใช้วงดนตรีอะคูสติกบรรเลงเพลงสบาย ๆ แต่พอพิธีจบจะเป็นวงฟูลแบนด์ต่อค่ะ หลังจากเราไปเปลี่ยนชุดแล้ว ก็กลับมาจอย After Party กับเพื่อน ๆ ซึ่งเราชอบมาก เพราะได้ใกล้ชิด พูดคุย กินดื่ม งานนี้เราร้องเพลงคู่กันด้วยเป็นเพลง Perfect ของ Ed Sheeran นอกนั้นจะเป็นการ์ดและเพื่อน ๆ ของเราสลับขึ้นไปร้องซะเยอะ วงแทบไม่ได้ร้องเลยค่ะ (หัวเราะ) โดยเราบรีฟวงดนตรีไว้ว่า หลัง 4 ทุ่ม ขอเพลงจังหวะเร็วขึ้นมา เพื่อเพิ่มความมันส์ค่ะ เรารู้สึกได้เลยว่าทุกคนสนุกไปกับเรา ขนาดเด็ก ๆ ยังมาเต้นหน้าเวที เรียกว่าเพลินจนไม่ยอมกลับบ้านกันเลยค่ะ
อีกไฮไลต์ของช่วง After Party คือเรามีกราฟิกแนะนำเพื่อน ๆ ที่ยังโสดขึ้นบนจอด้วยค่ะ จะเป็นรูป เปิดวาร์ป IG พร้อมข้อความ “Single and ready to mingle” และแน่นอนว่าแอลกอฮอล์ก็จัดเต็มเช่นกัน เพราะปาร์ตี้ยาวตั้งแต่ 3 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืนเลยค่ะ ซึ่งพนักงานของโรงแรมก็บริการอย่างดี เติมเครื่องดื่มให้ตลอด ไม่ต้องรอจนพร่องค่ะ
แขกยังชมเรื่องอาหารว่ารสชาติดี โดยเฉพาะเมนูเนื้อย่างสไลด์ กินกับเพนเน่ทรัฟเฟิลครีมซอส แต่ส่วนตัวจุ๊ยชอบแกงส้ม ซึ่งโรงแรมยกอาหารขึ้นไปเสิร์ฟให้บนห้อง ตอนเราเปลี่ยนชุดด้วยค่ะ บอกเลยว่าเซลล์และทีมเวดดิ้งซัพพอร์ทเราดีมาก ตั้งแต่เตรียมงานจนจบงานเลยค่ะ
คำแนะนำสำหรับบ่าวสาว
ก่อนเลือกร้านไหน ให้ดูรีวิวเยอะ ๆ : นอกจากหาข้อมูลร้านค้างานแต่งและดูผลงานทางเว็บไซต์หรือโซเชียลแล้ว ให้บ่าวสาวเน้นอ่านรีวิวของคนที่ใช้จริงด้วย จะทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
แพ็กเกจครบ บ่าวสาวก็จัดงานเองได้ง่าย : ควรเลือกโรงแรมที่มีแพ็กเกจรวมทุกอย่างไว้ให้ เพราะจะทำให้เราไม่ต้องเหนื่อย หรือคิดเรื่อง Decoration เพิ่ม เตรียมงานสบาย และเหลือเวลาไปจัดการอย่างอื่นได้ด้วย
เสื้อผ้าหน้าผม เลือกที่คลาสสิก : แนะนำให้เจ้าสาวแต่งหน้าคลีน ๆ ทำผมเรียบ ๆ ชุดแต่งงานก็เน้น Timeless ไม่ต้องหวือหวา หรือแฟชั่นจัด เพราะว่ารูปแต่งงานจะอยู่กับเราไปอีก 20-30 ปี ถ้าเลือกแนวคลาสสิกแล้ว มองยุคไหนก็ยังสวย
เจ้าบ่าวเลือกตัดสูทเองได้ : ถ้าเจ้าบ่าวมีแบบในใจ หรือสไตล์ที่ชอบชัดเจน สามารถเลือกร้านที่ชำนาญเรื่องการตัดสูทไปเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อชุดรวมกับแพ็กเกจชุดเจ้าสาว จะได้แบบที่ชอบ สีที่ใช่ และเหมาะกับเราจริง ๆ
ลองชุดแต่งงานล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน : ถ้ามีเวลา ให้ไปลองวัดไซส์ เลือกแบบ และล็อกชุดที่ชอบไว้ก่อนเลยก็ดี ยิ่งหากฤกษ์แต่งงานอยู่ในช่วงไฮซีซั่น หลายชุดอาจมีคนจองไว้แล้ว หรือถ้าเราจองชุดไปก่อน แต่ทางร้านมีคอลเล็กชั่นใหม่ออกมา เราก็ยังสามารถเจรจาขอเปลี่ยนทีหลังได้
Photographer : KenggoStudio